เรียนจบมาแล้วยังไงต่อ? 6 สิ่งที่ทำแล้วช่วยให้ “เด็กจบใหม่” มีโอกาสได้งานมากขึ้น

How to?August 11, 2023 17:28

 

เรียนจบมาแล้วยังไงต่อ?
6 สิ่งที่ทำแล้วช่วยให้ “เด็กจบใหม่” มีโอกาสได้งานมากขึ้น

หลังจากเรียนจบใหม่ๆ จะเริ่มหา หรือใช้วิธีไหนเพื่อให้ได้งาน? นี่คือประเด็นสำคัญก่อนเข้าสู่วัยทำงานโดยที่มหาลัยฯ ไม่เคยสอน ซึ่งความไม่เข้าใจในกระบวนการสมัครงานที่ทั้งซับซ้อนและละเอียดอ่อนเป็นสาเหตุหนึ่งที่เด็กจบใหม่จำนวนมากเข้าไม่ถึงโอกาสในการทำงาน ซึ่งในบทความนี้ Reeracoen Thailand ได้สรุปสิ่งที่เด็กจบใหม่ต้องเรียนรู้และเข้าใจเพื่อเพิ่มโอกาสได้งานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร

ปัญหาหนึ่งของเด็กจบใหม่คือเรียนจบมาโดยที่ “ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร” ทำให้จับต้นชนปลายไม่ได้เมื่อถึงเวลาต้องเข้าสู่โลกของการทำงาน

โดยเราสามารถประเมินตัวเองหรือลองทำแบบทดสอบความถนัดเพื่อหาข้อสรุปว่า “เราเหมาะจะทำอะไร” และช่วยเป็นแนวทางตัดสินใจว่าควรเริ่มต้นนับหนึ่งในชีวิตวัยทำงานกับอาชีพอะไรในสายงานไหน


กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน

หลังเรียนจบมาใหม่ๆ หลายคนอาจต้องเร่งหางานทำ โดยเพิ่มโอกาสหวังผลด้วยการสมัครงานหลายตำแหน่ง หลายบริษัทหรือที่เรียกกันว่า “หว่านใบสมัคร” แบบไม่มีเป้าหมายแน่ชัด ทำให้คุณสมบัติในเรซูเม่อาจจะตรงและไม่ตรงกับงานบ้าง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีเนื่องจากมีโอกาสที่เราจะไม่ถูกติดต่อกลับจนเป็นเหตุบั่นทอนความมั่นใจให้หมดไปตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงาน

ลองเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นตอบคำถามตัวเองให้แน่ใจว่าอยากทำงานอะไร ในบริษัทแบบไหนและมีทักษะหรืออะไรที่จำเป็นต้องใช้เพื่อ “คราฟต์เรซูเม่” ที่เหมาะสมสำหรับการส่งสมัครงาน


ใช้ประโยชน์จาก Cover letter

ความท้าทายของการเป็นเด็กจบใหม่ที่ต้องการมองหางานคือการ “แข่งขัน” กับบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นที่มีจำนวนหลายแสนคนในแต่ละปี (อ้างอิงข้อมูลจาก กรมจัดหางาน 2566)

ซึ่งกลุ่มคนหน้าใหม่ไฟแรงเหล่านี้อาจไม่ได้มีข้อแตกต่างทางด้านคุณสมบัติ ความรู้ ประสบการณ์ทำงานมากมายนัก ทำให้โจทย์สำคัญที่ต้องตีให้แตกคือ “ทำอย่างไรให้ตัวเองโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ”

แม้สิ่งที่เรียนมารวมถึงทักษะที่มีบนหน้าเรซูเม่จะคล้ายกันแต่สิ่งที่ทำให้แต่ละคนแตกต่างกันคือ เป้าหมาย ประสบการณ์ ความสนใจและแรงกระตุ้นหรือ “แพชชัน” ในการทำงานซึ่งเราสามารถนำเสนอสิ่งเหล่านั้นผ่าน Cover Letter หรือจดหมายสมัครงานที่เป็นการเรียบเรียงคุณสมบัติรวมถึงเป้าหมายในการทำงาน ทำให้บริษัทได้ข้อมูลใช้พิจารณาอย่างครบถ้วนมากกว่าจากเรซูเม่เพียงอย่างเดียว

ผลสำรวจจาก Arcadia University พบว่า

  • 72% ของนายจ้างคาดหวังจะได้รับ Cover Letter ในการสมัครงาน
  • 77% เลือกให้ความสำคัญกับผู้สมัครที่มี Cover Letter มากกว่าคนที่ไม่มี
  • 88% ของ Recruiter ระบุว่าหากเราทำเรซูเม่ได้ไม่ดีพอ Cover Letter ก็จะเป็นตัวช่วยให้เรามีโอกาสมากขึ้น


นำเสนอ “คุณค่า” ที่โดดเด่นกว่าคนอื่น

ก่อนที่จะคาดหวังว่าบริษัทต้องรับเข้าทำงานเราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าถ้าเราได้เข้าไปทำงานแล้ว “บริษัทสามารถคาดหวังอะไรจากเราได้บ้าง” เราจะใช้ความรู้ ทักษะประสบการณ์ส่วนไหน มาตอบสนองความคาดหวังหรือช่วยพัฒนาองค์กร

ถือเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องหา “จุดเด่น” ที่น่าสนใจกว่าคนอื่นในการแข่งขันที่มีคนจำนวนมากต้องการงานในตำแหน่งเดียวกัน
แล้วนำเสนอสิ่งเหล่านั้นในทุกขั้นตอนของการสมัครงาน อาทิ ทักษะการทำงาน ประสบการณ์ฝึกงาน ความสนใจตั้งแต่หน้าเรซูเม่ไปจนถึงระหว่างการสัมภาษณ์งาน


เสริมจุดแข็งด้วย Certification

หนึ่งในวิธีเพิ่มความโดดเด่นให้ตัวเองเหนือกว่าคู่แข่งด้วย “ใบรับรอง” การฝึกอบรมทักษะสำคัญที่จำเป็นในสายงาน ซึ่งปัจจุบันมีคอร์สจากสถาบันต่างๆ มากมายที่เราสามารถเข้าไปเรียนรู้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายนอกจากจะทำให้เรซูเม่มีความน่าสนใจยังช่วยเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือด้วย


ฝากโปรไฟล์กับบริษัทจัดหางาน

นอกจากเว็บประกาศงาน หรือโซเชียลมีเดีย อีกหนึ่งช่องทางสมัครงานที่มีประสิทธิภาพก็คือ “บริษัทจัดหางาน” ที่มี Recruiter มืออาชีพคอยจับคู่งานที่เหมาะสมและช่วยปรับปรุงเรซูเม่รวมถึงแนะนำเทคนิคการตอบคำถามยากๆ ระหว่างการสัมภาษณ์

เพียงใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีในการสร้างโปรไฟล์บนหน้าเว็บก็สามารถสร้างโอกาสได้งานที่มากขึ้น แถมยังได้งานที่เหมาะสมโดยที่ไม่ต้องเป็นฝ่ายวิ่งไล่ด้วยตัวเอง

สมัครงานผ่าน “คน” โดยมี Recruiter มืออาชีพช่วยคัดกรอง
และเพิ่มโอกาสได้งานแบบไม่ต้องกลัวเรซูเม่จะ “หลุดวงโคจร”
ฝากโปรไฟล์ไว้กับเรา Reeracoen Recruitment


อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม:
อย่าด่วนตัดสินใจตอบรับงานใหม่ ถ้ายังไม่ได้เห็น 3 สิ่งต่อไปนี้
สัญญาณจากการทำงานที่บ่งบอกเราว่าอาจมีโอกาสที่จะ "ไม่ผ่านโปรฯ"

แหล่งที่มา: https://bit.ly/3YvcIJU
#ReeracoenRecruitment #ReeracoenThailand #Recruitment