7 นิสัยและการกระทำเพื่อความสำเร็จในปี 2024

General TopicDecember 15, 2023 15:26

New Year’s resolution กับ 7 นิสัยและการกระทำ
เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จในปี 2024

เหลือเวลาอีกเพียงสองสัปดาห์ก่อนที่ปี 2023 จะจบลง ซึ่งนับเป็นปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างเกิดขึ้น หากย้อนกลับไปเราจะพบว่าหลายบริษัทใหญ่ระดับโลกโดยเฉพาะในสายเทคโนโลยี มีการเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ ตามมาด้วยการเปลี่ยนมุมมองของโลกการทำงานจากการเข้ามาของ Generative AI ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบาย แต่ก็มาพร้อม “ความเสี่ยง” ที่เราอาจถูกแทนที่ด้วยเครื่องมือเหล่านั้น เมื่อหลายบริษัทนำเข้ามาปรับใช้กับการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กร ซึ่งคนทำงานต้องรู้จักปรับตัวให้เท่าทันเครื่องมือเหล่านั้น แถมบางองค์กรถึงขั้นกำหนดให้ทักษะการใช้งานเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญสำหรับการรับเข้าทำงาน

คนจำนวนมากจึงมีแนวโน้มที่จะเจอกับปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น
เนื่องจากไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ที่เกิดขึ้นเร็วมากๆ
ดังนั้นเราจึงต้องปรับตัวโดยเริ่มจาก “ตัวเอง” ด้วยนิสัยและการกระทำที่สร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่เนิ่นๆ
เพื่อรับมือกับสถานการณ์และความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า


1) สนใจอะไรแล้วจงไปให้สุด

สืบเนื่องจากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องพยายามปรับตัวตามด้วยการ “เรียนรู้ตลอดชีวิต”
เพราะสิ่งที่แน่นอนคือไม่มีอะไรที่จะคงอยู่ตลอดไป ในขณะที่ทักษะและความรู้บางอย่างอาจมีวันล้าสมัย
ทำให้เราต้องลับคมตัวเองด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ รวมถึงการเข้ามาของเครื่องมือ AI ทั้งหลาย
อาทิ Chat GPT, Bard, Midjourney ฯลฯ ที่พิสูจน์แล้วว่าทำงานได้เทียบเท่าหรือแม้แต่ดีกว่ามนุษย์เรา

ทำให้เป็นที่ชัดเจนว่าคนทำงานต้องเริ่มพัฒนาตัวเองให้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะแสวงหาโอกาส
เก็บประสบการณ์จากงานต่างๆ เพื่อสร้างเส้นทางการเติบโตในแบบของตัวเองจน “เชี่ยวชาญ”
ซึ่งจะเป็นจุดแข็งอย่างที่หาใครแทนไม่ได้


2) เป็นคนที่เพื่อนร่วมงานต่างเข้าหา

ในสภาพแวดล้อมสังคมการทำงานทุกรูปแบบ การให้ความร่วมมือระหว่างกันและกัน
คือสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกๆ เสมอ ยิ่งในยุคที่โลกการทำงานได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบ
เน้นความยืดหยุ่น พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งทำให้พนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้
ไม่จำเป็นต้องเข้ามาอยู่ร่วมกันเหมือนเมื่อก่อน หลายองค์กรจึงเจอปัญหาเรื่องการมีส่วนร่วมของพนักงาน
เนื่องจากเมื่อไม่มีศูนย์กลางที่ดึงผู้คนเข้ามาหากัน การประงานระหว่างกันอาจไม่ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นการเป็น “เสาหลัก” ขององค์กรที่เพื่อนร่วมงานต่างให้ความไว้วางใจ
กล้าเดินเข้ามาหาเมื่อเจอปัญหาใดๆ ก็ตามจึงทำให้เราเป็นคนที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ
และมีโอกาสก้าวหน้ามากขึ้น (หากมีคุณสมบัติที่ดีพอ)


3) ใส่ใจ “ความสุข” ของตัวเองให้มาก

ในการทุ่มเทตามล่าความสำเร็จด้านชีวิตการทำงาน เรามักจะเร่งรีบจนมองข้ามความสุขด้านอื่นๆ ไปชั่วขณะ
ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีหากต้องการความสำเร็จในระยะยาว หากเปรียบเทียบกับการวิ่งมาราธอนไกลๆ
แต่ละคนต่างต้องการจะไปถึงเส้นชัย บางคนยอมกัดฟันวิ่งไม่คิดชีวิตจนหายใจไม่ทัน
บางคนกระหายน้ำแต่ยอมอดทนไม่ดื่มระหว่างทาง
ทั้งหมดก็เพื่อไปให้ถึงเส้นชัยอย่างเร็วที่สุดจนสุดท้ายร่างกายถึงขีดจำกัดและฝืนไปต่อไม่ไหว

ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งพักบ้าง ยอมสละเวลาบางส่วนฟังเสียง “ร่างกาย”
และไม่ละเลยความต้องการของตัวเอง จนสุดท้ายสามารถเข้าเส้นชัยได้อย่างปลอดภัย

กับชีวิตการทำงานก็เช่นกัน เรามักจะเร่งตัวเองจนทำบางอย่างหล่นหายไปโดยเฉพาะ “ความสุข”
จากสิ่งต่างๆ รอบตัว และเมื่อหันมาอีกทีก็ไม่เจอสิ่งเหล่านั้นแล้ว ดังนั้นอย่าลืมหยุดพักสักนิดเพื่อให้ชีวิตได้ไปต่อ
ไม่ทำร้ายตัวเองในปัจจุบันมากจนเกินไปเพียงเพื่อคำว่า “ความสำเร็จ” ในอนาคต


4) กล้าหันหลังให้สิ่งที่ฉุดรั้งอนาคต

What get you here, won’t get you there - Marshall Goldsmith

เรามักให้ความสำคัญกับคำว่า “อดีต” เพราะเป็นรากฐานที่พาเราเดินมาจนถึงปัจจุบันและเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะส่งผลดีต่ออนาคต เพราะบางอย่างอาจกลายเป็น “ภาระ” ที่แบกไว้
แล้วคอยฉุดรั้งไม่ให้เราเดินไปข้างหน้าได้อย่างที่ควร ไม่ว่าจะสกิลการทำงานเดิมๆ ความคาดหวังเก่าๆ
ที่เรายังยึดติดโดยไม่สามารถนำไปใช้ได้กับอนาคต

รวมถึงรู้จักที่จะยกเรื่องงานออกไปจากความคิดให้ร่างกายและสมองได้ “พัก”
เติมความสดเพื่อประสิทธิภาพและความคิดสร้างสรรค์ที่มากขึ้น


5) รักษา “จุดยืน” ของตัวเองอย่างเข้มแข็ง

แม้องค์กรต้องการให้พนักงานร่วมงานกันอย่างราบรื่นเพื่อให้ผลงานเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
แต่ในบางครั้งด้วยความรู้และประสบการณ์ที่มี ก็อาจมีสถานการณ์ที่เรา “เห็นต่าง” จากคนอื่นได้
จนเกิดเป็นความขัดแย้งเล็กๆ ทางความคิด และความคิดที่ขัดแย้งกันเหล่านี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
เนื่องจากเป็นการดึงให้ต้องต้องย้อนกลับมาคิดทบทวนหาแนวทางอื่นๆ ก่อนจะตัดสินใจใหม่อีกครั้ง
ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะค้นพบวิธีใหม่ๆ ที่ดีกว่าได้เช่นกัน


6) นำความผิดพลาดมาใช้เป็นบทเรียน

คนส่วนใหญ่มักไม่ชอบคำว่า “ล้มเหลว” “ผิดพลาด” เพราะสะท้อนถึงความอ่อนแอและไม่ดีพอของตัวเอง
รับไม่ได้ที่จะปล่อยให้มาทำลายความมั่นใจจนพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง
แต่ย้อนถามกลับไป หากความล้มเหลวไม่เคยเกิดขึ้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเอง “ด้อย” ตรงไหน
เมื่อไม่เคยรับรู้ถึงจุดอ่อนในแต่ละด้านแล้วเราจะพัฒนาขึ้นตัวเองมาจากอะไร

ดังนั้นความล้มเหลว ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นการไม่ยอมรับว่าตัวเองสามารถผิดพลาดได้ต่างหาก
ที่ทำให้เราไม่สามารถเติบโตขึ้นมาจากจุดเดิมๆ ได้สักที


7) ตั้งคำถามที่ท้าทายสิ่งเดิมๆ

ในขณะที่ “ความเชื่อใจ” ระหว่างกันและกันถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับทุกๆ ที่ทำงาน
แต่การมี “ความข้องใจ” กล้าตั้งคำถามต่อสิ่งเดิมๆ เพื่อหาโอกาสพัฒนาต่อยอดก็มีคุณค่าไม่แพ้กัน
เนื่องจากในองค์กรที่ทุกคน “คิดเหมือนกัน” เชื่อว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ดีที่สุดแล้ว
จนเกิดสภาวะความคิดที่เรียกว่า Groupthink ซึ่งเป็นความคิดจากกลุ่มคนส่วนใหญ่
และทำให้ส่วนน้อยไม่กล้า “คิดต่าง” เพราะกลัวว่าตัวเองจะแปลกแยก ไม่เข้าพวก

ซึ่งเป็นปัญหาที่อันตรายต่อองค์กร เนื่องจากเมื่อไม่มีใครกล้าตั้งคำถามต่อสิ่งที่ทำอยู่ว่าปัจจุบันที่เราคิดว่า “ดี”
นั้นดีจริงไหม หรือความจริงแล้วอาจดีได้มากกว่านี้อีก การที่ทุกคนคิดเหมือนกันไปหมด
จึงสามารถพาองค์กรเดินวนเป็นวงกลมหรือกระทั่งมุ่งหน้าไปผิดทาง

ดังนั้นเราต้องกล้าที่จะตั้งคำถามท้าทายต่อสิ่งที่เป็นอยู่อย่างมีวิจารณญาณ
เพื่อสร้างวัฒนธรรมของการไม่หยุดพัฒนาผ่านการคิดวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์อย่างมีกลยุทธ์

ฝากโปรไฟล์พร้อมมองหางานใหม่ที่ตอบโจทย์และตรงใจมากขึ้น

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง:
สถิติชี้! นโยบาย Remote working อาจมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้องค์กร
4 วิธีสังเกตและป้องกันอนาคตจากแผนการ Layoff ในบริษัทคุณ


แปลและเรียบเรียงจาก: https://bit.ly/47YTwrR 
#ReeracoenRecruitment #ReeracoenThailand #Recruitment